วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กองทุนรวมของการลงทุนของ RMF LTE ETF คืออะไร

ข้อ

 RMF
LTF
1
1. RMF คืออะไร?
RMF ย่อมาจากคำว่า Retirement Mutual Fund
หรือเรียกในชื่อไทยว่า กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง (กองทุนรวม หมายถึง
การนำเงินของผู้ลงทุนหลายๆ คนมารวมกัน แล้วมีมืออาชีพ
ซึ่งก็คือ บริษัทจัดการ คอยบริหารจัดการเงินตามนโยบาย
การลงทุนที่กำหนดไว้) ซึ่งมีวัตถุประสงค์พิเศษแตกต่างจาก
กองทุนรวมทั่วไป คือ RMF เป็นเครื่องมือหนึ่งในการ
สะสมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ ที่ทางการให้การสนับสนุน
สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนเพื่อเป็นแรงจูงใจ
LTF คืออะไร?
LTF ย่อมาจากคำว่า Long Term Equity Fund
หรือเรียกในชื่อไทยว่า กองทุนรวมหุ้นระยะยาว
เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้น โดยทางการสนับสนุน
ให้จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้ลงทุนสถาบัน (ซึ่งก็คือ
กองทุนรวม) ที่จะลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ฯ
การเพิ่มผู้ลงทุนสถาบันดังกล่าวจะช่วยให้ตลาดทุนไทย
มีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทุนใน LTF ที่เป็น
บุคคลธรรมดาจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อเป็น
แรงจูงใจในการลงทุน
2
RMF เหมาะกับใคร?
เหมาะกับคนทุกกลุ่มที่ต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ยังไม่มีสวัสดิการออมเงินเพื่อ
วัยเกษียณ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุน
บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) มารองรับ หรือมี
สวัสดิการดังกล่าวแต่ยังมีกำลังออมเพิ่มมากกว่านั้นได้อีก
LTF เหมาะกับใคร?
เหมาะกับคนทุกกลุ่มที่ต้องการลงทุนในหุ้นระยะยาว
แต่อาจไม่มีความชำนาญเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น
หรือไม่มีเวลาจึงลงทุนผ่านกองทุนรวม ทั้งนี้ ผู้ลงทุน
จะต้องเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุน
และเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลาในการลงทุนได้
3
RMF มีนโยบายการลงทุนเป็นอย่างไร?
มีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลายเหมือนกองทุนรวม
ทั่วไป ตั้งแต่กองทุนที่มีระดับความเสี่ยงต่ำ เน้นลงทุนใน
ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร กองทุนที่มีระดับความเสี่ยง
ปานกลางที่อาจผสมผสานระหว่างการลงทุนในตราสารหนี้
และตราสารทุน ไปจนถึงกองทุนที่มีระดับความเสี่ยงสูง
เน้นลงทุนในตราสารทุน เช่น หุ้น ใบสำคัญแสดงสิทธิ
การซื้อหุ้น (warrant)
LTF มีนโยบายการลงทุนเป็นอย่างไร?
มีนโยบายการลงทุนแบบเดียว คือ ลงทุนในหุ้นที่
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65
ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยอาจเน้นลงทุน
ในหุ้นกลุ่ม SET50 หุ้นตามกลุ่มอุตสาหกรรม หรือลงทุน
ในหุ้นตามที่บริษัทจัดการเห็นควรก็ได้ ขึ้นอยู่กับ
รายละเอียดนโยบายการลงทุนของแต่ละ LTF
4
RMF มีข้อแตกต่างจากกองทุนรวมทั่วๆ ไปอย่างไร?
1. หากลงทุนครบตามเงื่อนไขจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
2. ไม่สามารถโอน จำนำ หรือนำหน่วยลงทุนไปเป็น
    หลักประกันได้
3. ไม่มีการจ่ายเงินปันผล
LTF มีข้อแตกต่างจากกองทุนรวมทั่วๆ ไปอย่างไร?
1. หากลงทุนครบตามเงื่อนไขจะได้รับสิทธิประโยชน์
    ทางภาษี
2. ไม่สามารถโอน จำนำ หรือนำหน่วยลงทุนไปเป็น
    หลักประกันได้
3. เป็นกองทุนเปิด ซึ่งกำหนดให้ขายคืนหน่วยลงทุน
    ได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง


กองทุนรวม ETF

ถ้าถามว่า กองทุนรวม ETF คืออะไร คำตอบที่ง่ายที่สุด ได้แก่ กองทุนเปิดที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น (Open-ended Equity Fund) และหน่วยลงทุนของกองทุน ETF ยังเป็นหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (Listed Securities) อีกด้วย นอกจากนี้ ส่วนใหญ่แล้ว กองทุน ETF จะมีนโยบายการลงทุน โดยมุ่งเน้นให้ได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียง หรือเทียบเท่าดัชนีที่ใช้อ้างอิง (underlying index) เช่น อิงกับดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น S&P NASDAQ Kodex Nikkei ฯลฯ ซึ่งจะคล้ายกับการลงทุนใน Index Fund เป็นอย่างยิ่ง แต่ กองทุน ETF จะมีข้อได้เปรียบเพิ่มเติมตรงที่มีการคิดค่าธรรมเนียม การจัดการและอื่นๆ ในอัตราที่ต่ำกว่า และการที่กองทุนรวม ETF เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน จะทำให้มีลักษณะการซื้อขายคล้ายกับหุ้นโดยทั่วไปที่ผู้ลงทุนจะทราบราคาซื้อขายได้ตลอดเวลา (real time) มีสภาพคล่องสูง (high liquidity) และสามารถทำรายการซื้อขายผ่าน โบรกเกอร์ได้อย่างสะดวก


ทั้งนี้ กองทุนรวม ETF มักมีสไตล์การลงทุนเชิงอนุรักษ์ หรือ passive management โดยมุ่งหมายให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับกับดัชนีที่ใช้อ้างอิงมากที่สุด หรือที่เรียกในภาษาเทคนิคว่า ทำให้เกิด tracking error น้อยที่สุด ดังนั้น ผู้ลงทุนในกองทุนรวม ETF จึงน่าจะเป็นผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แบบมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และทั่วถึง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อย หรือผู้ลงทุนประเภทสถาบันต่างก็น่าที่จะมีความสนใจลงทุนในกองทุนรวม ETF เหมือนๆกัน


กองทุนรวม ETF เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณ 13 ปี มาแล้ว จากนั้น ก็เริ่มเข้าสู่ประเทศทางแถบยุโรป และเมื่อราว 4 – 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อนบ้านชาวเอเซียของเรา ไม่ว่าจะเป็น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ไต้หวัน สิงคโปร์ ต่างก็มีกองทุนรวม ETF เป็นทางเลือกในการลงทุนด้วยกันทั้งสิ้น คิดเป็นมูลค่ากองทุนรวมกันทั้งโลกสูงถึงประมาณ 487 พันล้านเหรียญสรอ หรือประมาณ 19 ล้านล้านบาททีเดียว



ที่มา : http://www.one-asset.com

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ERP คืออะไร

  ERP คืออะไร
 ·    ห่วงโซ่ของกิจกรรมขององค์กร
                องค์กรธุรกิจประกอบกิจกรรมธุรกิจในการส่งมอบสินค้าหรือบริการให้แก่ลูกค้า  กิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรม สร้างมูลค่า            ของทรัพยากรธุรกิจให้เกิดเป็นสินค้าหรือบริการและส่งมอบ มูลค่า” นั้นให้แก่ลูกค้า โดยกระบวนการสร้างมูลค่าจะแบ่งออกเป็นส่วนๆ โดยแต่ละส่วนจะรับผิดชอบงานในส่วนของตน และมูลค่าสุดท้ายจะเกิดจากการประสานงานระหว่างแต่ละส่วนหรือแผนกย่อยๆ  ดังนั้นกิจกรรมที่สร้างมูลค่านั้น ประกอบด้วยการเชื่อมโยงของกิจกรรมของแผนกต่างๆ ในองค์กร  การเชื่อมโยงของบริษัทเพื่อให้เกิดมูลค่านี้ เรียกว่า ห่วงโซ่ของมูลค่า (value  chain)”
ห่วงโซ่จากรูปแบ่งกิจกรรมออกเป็นส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ การจัดซื้อ การผลิต การขาย 
         โซ่ของกิจกรรมที่สร้างมูลค่าให้กับลูกค้า
·    ปัญหาที่เกิดขึ้นในการบริหารธุรกิจ
                    ธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ การเชื่อมโยงของกิจกรรมการเพิ่มมูลค่าของแต่ละแผนก มักจะมีปัญหาเรื่องการสูญเปล่าและการขาดประสิทธิภาพ อีกทั้งการใช้เวลาระหว่างกิจกรรมที่ยาวเกินไป       ทำให้ผลผลิตต่ำลง เกิดความยากลำบากในการรับรู้สถานภาพการทำงานของแผนกต่างๆ ได้       ทำให้การตัดสินใจในการลงทุนและบริหารทรัพยากรต่างๆ ทำได้ยากขึ้น การบริหารเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กรไม่สามารถทำได้
ปัญหาเชิงบริหาร ที่เกิดขึ้นได้แก่
1. การขยายขอบเขตการเชื่อมโยงของกิจกรรม
เมื่อบริษัทเติบโตใหญ่ขึ้น กิจกรรมการสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าจะเพิ่มขึ้น  การเชื่อมโยงของกิจกรรมจะยาวขึ้น
2. โครงสร้างการเชื่อมโยงของกิจกรรมซับซ้อนขึ้น 
         เมื่อบริษัทโตขึ้น การแบ่งงานของกิจกรรมสร้างมูลค่าให้กับแผนกต่างๆ และการเชื่อมโยงของ     กิจกรรมจะซับซ้อนขึ้น
3. เกิดการสูญเปล่าในกิจกรรมและความรวดเร็วในการทำงานลดลง
       เมื่อการเชื่อมโยงของกิจกรรมต่างๆ ขยายใหญ่และซับซ้อนขึ้น จะเกิดกำแพงระหว่างแผนก เกิดการสูญเปล่าของกิจกรรม  ความสัมพันธ์ในแนวนอนระหว่างกิจกรรมจะช้าลง  ทำให้ประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงกิจกรรมทั้งหมดต่ำลง
4. การรับรู้สภาพการเชื่อมโยงของกิจกรรมทำได้ยาก
        เมื่อการเชื่อมโยงของกิจกรรมต่างๆ ขยายขอบเขตใหญ่ขึ้น  ความซับซ้อนในการเชื่อมโยงกิจกรรมมากขึ้น  การรับรู้สภาพหรือผลของกิจกรรมในแผนกต่างๆ  ทำได้ยากขึ้น ไม่สามารถส่ง    ข้อมูลให้ผู้บริหารรับรู้ได้ทันที
5. การลงทุนและบริหารทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทำได้ยาก
        ทำให้ผู้บริหารไม่สามารถตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และทันเวลาในการลงทุน และบริหารทรัพยากรขององค์กรเพื่อให้ลูกค้าเกิดความพอใจสูงสุดในสินค้าและบริการ

เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ การนำ ERP มาใช้ในการบริหารธุรกิจจึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้นได้

·    ระบบ ERP หมายถึงอะไร
                   ERP   ย่อมาจาก  Enterprise  Resource  Planning  หมายถึง  การวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวม เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดของทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร
                       ERP จึงเป็นเครื่องมือที่นำมาใช้ในการบริหารธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในองค์กร อีกทั้งยังช่วยให้สามารถวางแผนการลงทุนและบริหารทรัพยากรขององค์กรโดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ      ERP จะช่วยทำให้การเชื่อมโยงทางแนวนอนระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง การผลิต และการขายทำได้อย่างราบรื่น ผ่านข้ามกำแพงระหว่างแผนก และทำให้สามารถบริหารองค์รวมเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด
                   ระบบ ERP เป็นระบบสารสนเทศขององค์กรที่นำแนวคิดและวิธีการบริหารของ ERP มาทำให้เกิดเป็นระบบเชิงปฏิบัติในองค์กร ระบบ ERP สามารถบูรณาการ (integrate)รวมงานหลัก (core business process) ต่างๆ ในบริษัททั้งหมด ได้แก่ การจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี และการบริหารบุคคล เข้าด้วยกันเป็นระบบที่สัมพันธ์กันและสามารถเชื่อมโยงกันอย่าง real time 
ลักษณะสำคัญของระบบ ERP คือ
1. การบูรณาการระบบงานต่างๆ ของระบบ ERP        
             จุดเด่นของ ERP คือ การบูรณาการระบบงานต่างๆ เข้าด้วยกัน ตั้งแต่การจัดซื้อ จัดจ้าง    การผลิต การขาย บัญชีการเงิน และการบริหารบุคคล ซึ่งแต่ละส่วนงานจะมีความเชื่อมโยงในด้าน   การไหลของวัตถุดิบสินค้า (material flow) และการไหลของข้อมูล (information flow)     ERP    ทำหน้าที่เป็นระบบการจัดการข้อมูล ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการงานในกิจกรรมต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด   พร้อมกับสามารถรับรู้สถานการณ์และปัญหาของงานต่างๆ ได้ทันที   ทำให้สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาองค์กรได้อย่างรวดเร็ว

. รวมระบบงานแบบ real time ของระบบ ERP
                        การรวมระบบงานต่างๆ ของระบบ ERP จะเกิดขึ้นในเวลาจริง(real  time) อย่างทันที เมื่อมีการใช้ระบบ ERP    ช่วยให้สามารถทำการปิดบัญชีได้ทุกวัน    เป็นรายวัน คำนวณ ต้นทุนและกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นรายวัน
     
3. ระบบ ERP มีฐานข้อมูล(database)  แบบสมุดลงบัญชี
            การที่ระบบ  ERP  สามารถรวมระบบงานต่าง ๆ เข้าเป็นระบบงานเดียว    แบบ Real time     ได้นั้น  ก็เนื่องมาจากระบบ ERP มี database แบบสมุดลงบัญชี  ซึ่งมีจุดเด่น คือ  คุณสมบัติของการเป็น  1  Fact  1  Place  ซึ่งต่างจากระบบแบบเดิมที่มีลักษณะ  1  Fact  Several Places ทำให้ระบบซ้ำซ้อน  ขาดประสิทธิภาพ  เกิดความผิดพลาดและขัดแย้งของข้อมูลได้ง่าย


·   ERP  package  คืออะไร
            ERP  package  เป็น  application software  package  ซึ่งผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทผู้จำหน่าย  ERP  package (Vendor   หรือ  Software Vendor)  เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างและบริหารงานระบบ  ERP  โดยจะใช้  ERP  package  ในการสร้างระบบงานการจัดซื้อจัดจ้าง การผลิต  การขาย  การบัญชี  และการบริหารบุคคล  ซึ่งเป็นระบบงานหลักขององค์กรขึ้นเป็นระบบสารสนเทศรวมขององค์กร   โดยรวมระบบงานทุกอย่างไว้ในฐานข้อมูลเดียวกัน

จุดเด่นของ  ERP  package
1. เป็น  Application Software  ที่รวมระบบงานหลักอันเป็นพื้นฐานของการสร้างระบบ  ERP ขององค์กร
         ERP  package จะต่างจาก  software package  ที่ใช้ในงานแต่ละส่วนในองค์กร  เช่น     production  control software, accounting software ฯลฯ   แต่ละ software ดังกล่าวจะเป็น    application  software เฉพาะสำหรับแต่ละระบบงานและใช้งานแยกกัน    ขณะที่  ERP  package  นั้นจะรวมระบบงานหลักต่างๆ ขององค์กรเข้าเป็นระบบอยู่ใน  package  เดียวกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างระบบ  ERP  ขององค์กร
2. สามารถเสนอ  business scenario และ  business process  ซึ่งถูกสร้างเป็น  pattern  ไว้ได้
          ERP package ได้รวบรวมเอาความต้องการสำคัญขององค์กรเข้าไว้ เป็นระบบในรูปแบบของ  business process  มากมาย  ทำให้ผู้ใช้สามารถนำเอารูปแบบต่างๆ ของ business   process  ที่เตรียมไว้มาผสมผสานให้เกิดเป็น  business scenario   ที่เหมาะสมกับลักษณะทางธุรกิจขององค์กรของผู้ใช้ได้
       3. สามารถจัดทำและเสนอรูปแบบ  business process  ที่เป็นมาตรฐานสำหรับองค์กรได้
การจัดทำ  business process  ในรูปแบบต่างๆ นั้นสามารถจัดให้เป็นรูปแบบมาตรฐานของ business process  ได้ด้วย ทำให้บางกรณีเราเรียก  ERP ว่า standard application software package

สาเหตุที่ต้องนำ  ERP  package มาใช้ในการสร้างระบบ คือ
1. ใช้เวลานานมากในการพัฒนา  software
 การที่จะพัฒนา  ERP  software  ขึ้นมาเองนั้น  มักต้องใช้เวลานานมากในการพัฒนา  และจะต้องพัฒนาทุกระบบงานหลักขององค์กรไปพร้อมๆ กันทั้งหมด จึงจะสามารถรวมระบบงานได้ ตามแนวคิดของ ERP ซึ่งจะกินเวลา  5-10  ปี  แต่ในแง่ของการบริหารองค์กร  ถ้าต้องการใช้ ระบบ  ERP  ฝ่ายบริหารไม่สามารถจะรอคอยได้เพราะสภาพแวดล้อมในการบริหารมีการเปลี่ยนแปลงตลอด  ระบบที่พัฒนาขึ้นอาจใช้งานไม่ได้  ดังนั้นผู้บริหารจึงไม่เลือกวิธีการพัฒนา  ERP  software เองในองค์กร
2. ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาสูงมาก
       การพัฒนา  business software  ที่รวมระบบงานต่างๆเข้ามาอยู่ใน  package เดียวกัน จะมีขอบเขตของงานกว้างใหญ่มากครอบคลุมทุกประเภทงาน  ต้องใช้เวลานานมากในการพัฒนาและค่าใช้จ่ายก็สูงมากตามไปด้วย หรือถ้าให้บริษัทที่รับพัฒนา software ประเมินราคาค่าพัฒนา ERP software ให้องค์กร ก็จะได้ในราคาที่สูงมาก ไม่สามารถยอมรับได้อีกเช่นกัน
3. ค่าดูแลระบบและบำรุงรักษาสูง
          เมื่อพัฒนา  business software  ขึ้นมาใช้เอง ก็ต้องดูแลและบำรุงรักษา และถ้ามีการเขียนโปรแกรมเพิ่มหรือแก้ไขโปรแกรม  การบำรุงรักษาจะต้องทำอยู่อย่างยาวนานตลอดอายุการใช้งาน  เมื่อรวมค่าบำรุงรักษาในระยะยาวต้องใช้เงินสูงมาก  อีกทั้งกรณีที่มีการปรับเปลี่ยน Software ไปตาม platform หรือ network ระบบต่างๆ ที่เปลี่ยนไปหรือเกิดขึ้นใหม่ ก็เป็นงานใหญ่ ถ้าเลือกที่จะดูแลระบบเองก็ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษานี้ พร้อมกับรักษา บุคลากรด้าน IT นี้ไว้ตลอดด้วย
โครงสร้างของ ERP package

1. Business Application Software Module
      ประกอบด้วย  Module  ที่ทำหน้าที่ในงานหลักขององค์กร คือ  การบริหารการขาย  การบริหารการผลิต   การบริหารการจัดซื้อ  บัญชี  การเงิน  บัญชีบริหาร ฯลฯ  แต่ละ  Module  สามารถทำงานอย่างโดดๆ  ได้  แต่ก็มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง  Module  กัน เมื่อกำหนด parameter ให้กับ module จะสามารถทำการเลือกรูปแบบ business process หรือ business rule ให้ตอบสนองเป้าหมายขององค์กรตาม business scenario  โดยมี business process ที่ปรับให้เข้ากับแต่ละองค์กรได้
      ERP  package ที่ต่างกันจะมีเนื้อหา และน้ำหนักการเน้นความสามารถของแต่ละ  Module ไม่เหมือนกัน  และเหมาะกับการนำไปใช้งานในธุรกิจที่ต่างกัน  ในการเลือกจึงต้องพิจารณาจุดนี้ด้วย
2. ฐานข้อมูลรวม  (Integrated database)
     Business application module จะ share ฐานข้อมูลชนิด Relational database  (RDBMS) หรืออาจจะเป็น  database เฉพาะของแต่ละ  ERP  package ก็ได้  Software Module จะประมวลผลทุก  transaction แบบเวลาจริง และบันทึกผลลงในฐานข้อมูลรวม โดยฐานข้อมูลรวมนี้สามารถถูก  access  จากทุก  Software Module ได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องทำ  batch processing หรือ File transfer  ระหว่าง  Software Module  เหมือนในอดีต  และทำให้ข้อมูลนั้นมีอยู่ ที่เดียว  ได้
3. System  Administration  Utility
     Utility  กำหนดการใช้งานต่างๆ ได้แก่ การลงทะเบียนผู้ใช้งาน, การกำหนดสิทธิการใช้, การรักษาความปลอดภัยข้อมูล, การบริหารระบบ  LAN และ   network  ของ   terminal, การบริหารจัดการ  database เป็นต้น
4. Development  and Customize Utility
ERP สามารถออกแบบระบบการทำงานใน business process ขององค์กรได้อย่างหลากหลาย  ตาม business scenario แต่บางครั้งอาจจะไม่สามารถสร้างรูปแบบอย่างที่ต้องการได้  หรือมีความต้องการที่จะ  Customize บางงานให้เข้ากับการทำงานของบริษัท  ERP  package  จึงได้เตรียม  Utility  ที่จะสนับสนุนการพัฒนาโปรแกรมส่วนนี้ไว้ด้วย  โดยจะมีระบบพัฒนาโปรแกรมภาษา 4GL (Fourth Generation Language) ให้มาด้วย